เรียนต่อต่างประเทศกับ GoUni

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เตรียมตัวเรียน MBA ที่อังกฤษ

หลักสูตร MBA เปรียบเสมือนหลักสูตรที่ช่วยให้หลายๆคน ได้งานในตำแหน่งที่ดีขึ้น เงินเดือนสูงขึ้น แต่น้องๆ อาจจะยังไม่แน่ใจว่าจะต้องเตรียมตัวยังไง วันนี้พี่ๆ GoÜni รวบรวมข้อมูลควรรู้ก่อนสมัครเรียน MBA มาฝากครับ




1. เรียน MBA ต้องมีประสบการณ์ทำงาน

ใช่แล้วครับ MBA ที่ได้มาตรฐานและได้รับการรับรองจาก Association of MBAs (AMBA) ซึ่งเป็นสถาบันที่ให้การรับรองหลักสูตร MBA กว่า 200 สถาบันจาก 70 ประเทศทั่วโลก ผู้เรียนจะต้องมีประสบการณ์ทำงานอย่างต่ำ 3 ปี ถึงจะมีสิทธิ์สมัครเรียนได้

แต่ก็ยังมีบางมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้พิจารณาเรื่องประสบการณ์ทำงานหรือ มีประสบการณ์ทำงานต่ำกว่า 3 ปี แต่ก็รับนักศึกษาเข้าเรียน ซึ่งมหาวิทยาลัยเหล่านี้ แน่นอนว่ายังไม่ได้รับการรับรองจาก AMBA

2. GMAT

คะแนน GMAT เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ผู้สมัครเรียนจะต้องมีเพื่อเข้าเรียน MBA คะแนนเฉลี่ยที่มหาวิทยาลัยต้องการคือ 600+ คะแนนนี้ยิ่งเยอะยิ่งดีครับ

คำว่า GMAT นั้นย่อมาจาก the Graduate Management Admission Test แน่นอนครับ ข้อสอบนี้ได้รับการยอมรับจากสถาบันการศึกษาต่างๆกว่า 6,000 แห่งทั่วโลก ซึ่งในการทดสอบผู้เข้าสอบต้องมีความรู้ในทักษะต่างๆทั้งหมด 4 ด้าน ดังนี้ Analytical Writing Assessment, Integrating Reasoning, Quantitative, Verbal



3. IELTS 

เมื่อเราต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศ ผลสอบภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่มหาวิทยาลัยต้องการครับ ข้อสอบ IELTS หรือ International English Language Testing System เป็นข้อสอบมาตรฐานที่สถาบันการศึกษาในอังกฤษ หรือเกือบทั้งโลกยอมรับ

สำหรับผู้เรียน MBA คะแนนมาตรฐานที่ควรจะได้คือ 6.5-7.0 ครับ


4. คำถามเพิ่มเติมสำหรับหลักสูตร MBA

หลายๆ คนอาจจะงงว่ามันคืออะไร นอกจาก Statement of Purpose หรือเรียงความประวัติส่วนตัวที่เราจะต้องเขียนแล้ว ในหลายๆ มหาวิทยาลัยยังมีคำถามพิเศษเพิ่มเติมที่ถามผู้สมัคร MBA โดยเฉพาะ

ส่วนมากแล้วจะต้องเขียนเกี่ยวกับงานที่เราได้รับมอบหมาย ผลงาน รวมถึงขนาดของบริษัทที่เราเคยทำงาน จำนวนพนักงานที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา เป็นต้น

5. สอบสัมภาษณ์

ด่านสำคัญอีกหนึ่งด่านหนึ่งก่อนที่เราจะได้เป็นนักศึกษา MBA โดยสมบูรณ์ คือการสัมภาษณ์ครับ แต่เราไม่ต้องไปสัมภาษณ์ถึงที่อังกฤษนะครับ เพราะด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน ทางผู้อำนวยการหลักสูตรสามารถ ออนไลน์เข้าถึงผู้สมัครได้โดยตรง ซึ่งนอกจากคำตอบที่จะได้รับจากผู้สมัครแล้ว ยังสามารถเห็นบุคลิกต่างๆในขณะที่ให้สัมภาษณ์ได้อีกด้วย





ตัวอย่างคำถาม (credit: http://www.accepted.com/mba/questions.aspx)
  • Discuss your career progression.
  • Give examples of how you have demonstrated leadership inside and outside the work environment.
  • What do you want to do (in regard to business function, industry, location)?
  • Why the MBA?  Why now?
  • Describe an ethical dilemma faced at work?

เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมในทุกๆ ด้านนะครับ พี่ๆ GoÜni ยินดีช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่น้องๆ ที่สนใจไปเรียนต่อ MBA ที่ประเทศอังกฤษ ฟรีทุกขั้นตอนเลยครับ

ถึงเวลาเพิ่มฐานเงินเดือนให้กับตัวเองแล้วครับ!!

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

Student Residence หอพักนักศึกษา

บทความที่แล้วเราพูดถึงเรื่องการพักแบบ Homestay / Host Family ไปแล้วนะครับ ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงที่พักแบบ Student Residence กันบ้างครับ







Student Residence หรือ หอพักนักศึกษา 
มีลักษณะคล้ายกับอพาร์ทเมนต์หรือคอนโดมิเนียมบ้านเรา โดยจะมีมาตรฐานคร่าวๆดังนี้

ชั้น 1 หรือ ชั้น G จะมี reception ไว้สำหรับนักศึกษาเพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่เรื่องต่างๆ, มีห้องซักผ้าและอบผ้า แบบหยอดเหรียญ ไว้บริการ, ห้องสันทนาการ ประกอบไปด้วย โทรทัศน์ โซฟาสำหรับนั่งเล่น พร้อมอุปกรณ์เครื่องเล่นต่างๆ เช่น โต๊ะฟุตบอลมือหมุน, โต๊ะพูล, บางหอพักอาจมี ยิม หรือฟิตเนส สำหรับออกกำลังกาย รวมถึงสระว่ายน้ำด้วย


 

 

 


ส่วนชั้นบนจะเป็นที่พักสำหรับนักศึกษา โดยใน 1 ชั้น จะประกอบไป ด้วยห้องนอนหลายๆห้อง แล้วแต่ขนาดของตึกนั้นๆ (ขั้นต่ำ 5 ห้องนอน), ห้องน้ำ, และห้องครัว

โดยทั่วไปแล้ว Student Residence หรือ หอพักนักศึกษา จะมีทั้งแบบหอพักมหาลัย และหอพักเอกชน แล้วหอพักทั้ง2แบบนี้ มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง??


ลักษณะของหอพักมหาลัย
- อยู่ในบริเวณหรือบริเวณรอบๆ มหาลัย เดินทางสะดวกสบาย
- ดูแลโดยเจ้าหน้าที่ของมหาลัย หรือ เจ้าหน้าที่ที่ทางมหาลัยเป็นคนจัดหามาเพื่อทำการดูแลหอพักของนักศึกษา
- ส่วนมากราคาจะถูกกว่าหอพักเอกชน
- เพื่อนทั้งหมดในหอจะเป็นนักศึกษาของมหาลัยนั้นๆ

ลักษณะของหอพักเอกชน
- อยู่บริเวณรอบนอกของมหาลัย เดินทางสะดวกสบายเช่นกัน
- ดูแลโดยบริษัทเอกชนนั้นๆ มีระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
- ราคาแพงกว่า แต่ห้องดูใหม่และสะอาดกว่า เนื่องจากมีการบำรุงรักษาตลอดเวลา
- เพื่อนในหอพัก มีจากหลากหลายสถาบัน




ประเภทของห้องนอน หอพักนักศึกษา


 


1. Single Bedroom Shared Bathroom: ห้องนอนเดี่ยว แบบแชร์ห้องน้ำ ภายในห้องจะประกอบไปด้วย เตียงนอนเดี่ยว, ตู้เสื้อผ้า, โต๊ะอ่านหนังสือ, ชั้นวางหนังสือ, โคมไฟ เป็นต้น

ข้อดี: ประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากราคาถูกกว่าประเภทอื่นๆ เหมาะสำหรับคนงบจำกัด
ข้อเสีย: ห้องนอนและเตียงนอนมีขนาดเล็ก, ต้องแชร์ห้องน้ำและห้องครัวกับเพื่อนร่วมหอ



 


2. Twin Bedroom Shared Bathroom: ห้องนอนคู่สำหรับ 2 คน แบบแชร์ห้องน้ำ ภายในห้องมีทุกอย่างเหมือนกับ Single Bedroom แต่ของทุกอย่างจะมี 2 ชิ้น

ข้อดี: ประหยัดค่าใช้จ่าย เหมาะสำหรับน้องๆที่ไปเป็นคู่ที่มีงบประมาณจำกัด
ข้อเสีย: ขาดความเป็นส่วนตัว

Remark: การแชร์ห้องน้ำและห้องครัว จะเป็นการแชร์กันสำหรับนักศึกษาในชั้นนั้นๆเพียงชั้นเดียว (ประมาณ 5-10 คน)


 


3. En-suite Room: ห้องนอนขนาดมาตรฐาน ภายในห้องประกอบไปด้วย เตียงนอน, ตู้เสื้อผ้า, โต๊ะอ่านหนังสือ, ชั้นวางหนังสือ, โคมไฟ, ห้องน้ำในตัว (ฝักบัวอาบน้ำ, อ่างล้างหน้า, ชักโครก)

ข้อดี: ขนาดห้องนอนและเตียงนอน จะใหญ่กว่าห้องประเภท Single Bedroom 
ข้อเสีย: ต้องแชร์ห้องครัวกับเพื่อนร่วมหอในชั้นที่เราอยู่



 


4. Studio Room: ลักษณะโดยรวมจะคล้ายกับ En-Suite Room แต่ห้องประเภท Studio Room จะพิเศษกว่าตรงที่มีห้องครัวในตัว, ตู้เย็น, เตาอบ, เตาแก๊ส, อ่างล้างจาน เป็นต้น จึงทำให้ห้อง Studio Room นี้มีขนาดใหญกว่าห้องประเภทอื่นๆ

ข้อดี: สามารถทำกิจวัตรส่วนตัวทุกอย่างได้ภายในห้องนอน
ข้อเสีย: ห้องประเภทนี้ไม่เหมาะกับการทำอาหารที่มีกลิ่นฉุน เพราะจะทำให้กลิ่นฟุ้งอยู่ในห้องนอน








ข้อดีของการอยู่หอพักนักศึกษา ได้แก่
1. มีความเป็นส่วนตัวสูงกว่าการพักอยู่กับ Host Family
2. ทำให้มีความรับผิดชอบในตัวเองมากขึ้น
3. มีเพื่อนมากกว่าการอยู่กับ Host Family
4. เข้า-ออก เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องแจ้งให้ใครทราบ


สิ่งที่ควรปฏิบัติในการอยู่แบบหอพัก
การพักหอพักนักศึกษา เราจะต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคลของเพื่อนนักศึกษาคนอื่นๆด้วยโดย
- ไม่ส่งเสียงดังจนเกินไปที่จะก่อให้เกิดการรบกวนเพื่อนข้างห้องได้ 
- ไม่สูบบุหรี่ภายในตึก 
- เมื่อมีการเข้า-ออกหอ ควรปิดให้สนิทเพื่อความปลอดภัยไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาขโมยทรัพย์สินทั้งของเราเองและของเพื่อนร่วมหอ เป็นต้น





ครั้งหน้าเราจะมาพูดถึงการเช่าบ้านกันนะครับ แล้วน้องๆจะได้ตัดสินใจได้ว่าไปเรียนต่างประเทศครั้งนี้จะเลือกที่พักแบบใด


สนใจเรียนต่อต่างประเทศ ปรึกษาฟรีกับ GoÜni (ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อต่างประเทศครบวงจร: คอร์สเรียน, ที่พัก, วีซ่า, ตั๋วเครื่องบิน) โทร 02-967-7003, 098-825-9840

ติดตามข่าวสารอื่นๆได้ที่ www.facebook.com/gouni.th
สามารถอ่านข้อมูลการศึกษาอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ www.gouni.co.th

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Host Family / Homestay ดีอย่างไร

 


น้องๆหลายคนที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศคงกำลังคิดอยู่ใช่มั้ยครับว่าจะเลือกที่พักแบบไหนดี แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมี Homestay หรือ Host Family อยู่ด้วย บทความนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องนี้กันครับ



Homestay หรือ Host Family คือ ที่พักที่ให้บริการโดยครอบครัวคนท้องถิ่นของเมืองนั้นๆอาจจะมีลักษณะเป็นบ้านทั้งหลัง (สำหรับนอกเมืองใหญ่) หรือเป็นอพาร์ทเม้นต์ (สำหรับในเมืองใหญ่) Homestay มักจะรับน้องๆที่อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป โดยเค้าจะคิดค่าใช้จ่ายเป็นรายอาทิตย์ ซึ่งราคาจะแตกต่างกันตามขนาดของห้องและประเภทของ Homestay โดยปกติแล้ว Homestay จะอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนที่เราเรียนมากนัก (ส่วนใหญ่ใช้เวลาในการเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนไม่เกิน 30 นาที) โฮสฯส่วนใหญ่แล้วจะเข้าใจความต้องการของนักเรียน เนื่องจากโฮสฯเหล่านี้มีประสบการณ์ในการรับนักเรียนต่างชาติมาหลายปี




Homestay จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1) BB = Bed and Breakfast คือ มีอาหารเช้าให้ทานอย่างเดียว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกแซนวิส, คอนเฟล็กซ์, นม, ขนมปัง เป็นต้น
2) HB = Half-Board คือ มีอาหารเช้าและเย็นให้ มื้อเย็นส่วนใหญ่จะเป็นมื้อที่ค่อนข้างหนัก เช่น สเต็ก, สตูว์ เป็นต้น
3) SC = Self-catering คือ หาทานเอง


เวลาเลือกโฮสฯ เลือกอย่างไร หลายๆคนคงอยากรู้ใช่มั้ยครับ มาดูขั้นตอนกันครับ
1. แจ้งความประสงค์ว่าเราต้องการโฮสฯประมาณไหนในลักษณะกว้างๆ เช่น ไม่ต้องการสัตว์เลี้ยง ไม่ต้องการมีเด็กเล็ก ไม่สูบบุหรี่
2. เลือกประเภทของห้อง เช่น Standard (ขนาดห้องมาตรฐาน), Single bedroom (ห้องนอนเดี่ยว), twin bedroom (ห้องนอนสำหรับ 2 คน อันนี้แนะนำสำหรับน้องๆที่เดินทางไปด้วยกันครับ), BB, HB, SC เป็นต้น
3. ระบุวันที่ต้องการเข้าพัก

หมายเหตุ เราอาจจะแจ้งเพิ่มเติมในบางเรื่องได้ (เช่น แพ้อะไร ต้องการอะไรเพิ่มเติมที่พิเศษ) แต่ทั้งนี้การแจ้งหมายเหตุนี้ เราจะต้องดูว่ามีโฮสที่สามารถรับคำร้องพิเศษนี้ได้หรือไม่ และเค้าว่างในช่วงเวลาที่เราจะเข้าพักหรือไม่ด้วย



ข้อดีของการพักกับ Host Family ได้แก่
1. ได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของคนในชาตินั้นๆอย่างแท้จริง
2. ได้ฝึกภาษาอังกฤษมากขึ้น เพราะเราจะได้คุยกับตัวเจ้าของบ้านทุกวัน
3. ได้รับคำแนะนำต่างๆจากโฮสฯมากมาย เช่น เรื่องการเดินทาง เป็นต้น
4. ประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่องของที่พัก เพราะที่พักแบบนี้มักจะมีราคาถูกกว่าการอยู่หอพัก
5. อยู่ใกล้โรงเรียน ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 30 นาที
6. บางครั้งโฮสจะพาเราไปเที่ยวกับเค้าด้วย
7. ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น หากโฮสบ้านไหนมีหลายห้องนอน เค้ามักจะรับนักเรียนได้หลายคน ซึ่งเราอาจจะได้เพื่อนต่างชาติเพิ่มขึ้นอีกด้วย
8. สามารถเลือกได้ว่าต้องการอยู่นานเท่าไหร่ (ขั้นต่ำส่วนมากจะอยู่ที่ 1 เดือน)


สำคัญ!!! ในแต่ละบ้านจะมีกฎไม่เหมือนกัน เมื่อเราไปถึงบ้านเค้าแล้ว น้องๆจะต้องศึกษากฎของบ้านให้เข้าใจนะครับ รับรองว่าการอยู่โฮสฯจะเป็นความทรงจำที่ดีของน้องๆแน่นอนครับ


ครั้งหน้าเราจะมาพูดถึงเรื่องหอพักกันครับ
สนใจเรียนต่อต่างประเทศ ปรึกษาฟรีกับ GoÜni (ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อต่างประเทศครบวงจร: คอร์สเรียน, ที่พัก, วีซ่า, ตั๋วเครื่องบิน) โทร 02-967-7003, 098-825-9840
ติดตามข่าวสารอื่นๆได้ที่ www.facebook.com/gouni.th
สามารถข้อมูลการศึกษาอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ www.gouni.co.th

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

วิธีนั่งรถไฟในประเทศอังกฤษ (1)

วิธีนั่งรถไฟในอังกฤษ หลายคนกำลังสงสัยว่าจะเริ่มต้นยังไงดี ซื้อที่ไหนอย่างไร ขึ้นสถานีไหน มีชานชาลาเยอะแยะเต็มไปหมด แถมผู้ให้บริการก็มีหลายเจ้าด้วย ทาง GoÜni ได้รวบรวมขั้นตอนเหล่านั้นมาอธิบายให้น้องๆฟังกันครับ




ระบบรถไฟของประเทศอังกฤษถือได้ว่าเป็นระบบรถไฟที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งมีบริษัทผู้ให้บริการการเดินรถถึง 28 บริษัท ถึงแม้จะมีผู้ให้บริการหลายบริษัท แต่ระบบการจัดการตารางเดินรถของที่นี่ถือว่าดีเยี่ยมครับ รถไฟมาตรงเวลาทุกขบวน ทำให้สะดวกต่อการวางแผนเดินทางไปที่ต่างๆ 
สำหรับการเดินรถไฟจะแยกเป็นการเดินรถในลอนดอน และการเดินรถไปเมืองอื่นๆ บทความนี้เราจะมาพูดถึงการเดินทางไปเมืองอื่นๆก่อนนะครับ






ลักษณะของตั๋วเดินทางจะเป็นเหมือนในรูป โดยจะมีรายละเอียดสำคัญๆดังนี้

1.Class ระบุชั้นที่นั่งว่าเป็นประเภทไหน standard class หรือ first class
2.Type ระบุว่าเป็นตั๋วประเภทไหน Peak time หรือ Off-Peak, แบบ Single (ไปอย่างเดียว) หรือ Return (ไปกลับ)
3.Date ระบุวันว่าเดินทางวันไหน
4.From ระบุว่าขึ้นจากสถานีไหน
5.To ระบุว่าลงสถานีไหน
6.Route ระบุว่าเดินทางได้ด้วยผู้ให้บริการรายไหน (ตั๋วบางชนิดอาจระบุผู้ให้บริการ เพราะฉะนั้นจะต้องรอขบวนของผู้ให้บริการรายนั้นเท่านั้น)
7.Price ระบุค่าตั๋ว


วิธีการซื้อตั๋วรถไฟมีทั้งหมด 3 วิธีดังนี้


 


วิธีที่ 1 ซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วกับเจ้าหน้าที่
น้องๆสามารถเดินไปที่เคาน์เตอร์และแจ้งว่าต้องการตั๋วประเภทไหน เดินทางวันและเวลาไหน จากนั้นชำระเงินด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิต/เดบิต เจ้าหน้าที่จะให้ตั๋วโดยสารมา เหมาะสำหรับคนที่ยังไ่มค่อยรู้ข้อมูลอะไรมาก เจ้าหน้าที่จะคอยช่วยเหลือครับ 





วิธีที่ 2 ซื้อตั๋วที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ
น้องๆจะต้องเดินไปที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟ (หน้าจอจะเป็นแบบจอสัมผัส) จากนั้นเลือกประเภทตั๋ว สถานีที่ และเวลาที่เราต้องการไป กรณีมีบัตรส่วนลดอย่าลืมกดเพื่อลดค่าตั๋วรถไฟ ชำระเงินด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิต/เดบิต รับตั๋วโดยสาร (และ/หรือเงินทอน) ที่ช่องด้านล่าง 
วิธีการนี้เหมาะสำหรับการเดินทางแบบที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้าและไม่อยากต่อคิวซื้อกับเจ้าหน้าที่





วิธีที่ 3 ซื้อตั๋วออนไลน์
น้องๆสามารถเข้าไปจองตั๋วออนไลน์ได้โดยเข้าไปที่ www.nationalrail.co.uk เพื่อทำการจองตั๋วรถไฟ(หรือเช็ครอบรถไฟได้ที่นี่เช่นกัน) โดยกรอกข้อมูลวันที่และเวลาที่ต้องการเดินทาง สถานีตั้งต้น และสถานีปลายทาง จากนั้นจะมีรายละเอียดต่างๆพร้อมราคาขึ้นมาให้เราเลือก หากมีบัตรส่วนลดอะไรอยู่สามารถเลือกเพื่อลดราคาตั๋วรถไฟได้ เมื่อเลือกได้แล้วก็ทำการชำระเงินด้วยบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิต ถ้าทำรายการเสร็จแล้วจะได้รับรหัสอ้างอิงไว้ใช้สำหรับการรับบัตร 


เมื่อถึงวันเดินทาง ให้ไปที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ ใส่บัตรเครดิตหรือเดบิตที่ตัดบัตรในช่องใส่บัตร และรหัสอ้างอิงที่ได้รับตอนจองตั๋ว จากนั้นตั๋วก็จะออกมา 2 ใบ(อาจจะมากกว่าแล้วแต่เส้นทางที่ไป) โดยใบนึงจะเป็นตั๋วโดยสารไว้ใช้สอดที่ประตูทางเข้าหรือโชว์กับเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว ส่วนอีกใบนึงจะเป็นใบเสร็จการจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต/เดบิต

การซื้อตั๋วทางออนไลน์เหมาะสำหรับคนที่วางแผนการเดินทางล่วงหน้าที่ค่อนข้างแน่นอน
ข้อดีของการซื้อตั๋วออนไลน์ คือ 

1) สะดวกสบาย รวดเร็ว สามารถรับตั๋วโดยสารล่วงหน้าก่อนวันเดินทางได้
2) ตั๋วบางครั้งอาจมีราคาถูกกว่าหรืออาจจะมีโปรโมชั่นพิเศษ
3) สามารถระบุที่นั่งได้ว่าต้องการนั่งที่ไหน โซนไหน






พิเศษ!! สำหรับน้องๆที่มีอายุระหว่าง 16-25 ปี (หรือนักศึกษามหาวิทยาลัย) สามารถซื้อบัตรส่วนลดที่เรียกว่า 16-25 Railcard ค่าธรรมเนียมในการออกบัตร 30 ปอนด์ (ราคา ณ ปี2015) เพื่อเป็นส่วนลดในการซื้อตั๋วรถไฟได้ครับ บัตรนี้จะต้องพกติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ขึ้นรถไฟ เพราะเจ้าหน้าที่จะขอตรวจทุกครั้ง

การสมัครบัตรส่วนลด 16-25 Railcard สามารถสมัครได้ 2 วิธี คือ
1.สมัครออนไลน์ ได้ที่นี่  โดยเอกสารที่ต้องใช้ในการสมัครได้แก่ สำเนาพาสปอร์ต, ไฟล์รูปถ่าย, บัตรเดบิต/เครดิต สำหรับชำระค่าบัตร (วิธีนี้บัตรจะถูกส่งไปที่บ้าน ใช้เวลาประมาณ 1 วันทำการหลังจากสมัคร)
2.มัครกับเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วรถไฟ เพียงโชว์พาสปอร์ต, บัตรนักเรียน/นักศึกษา พร้อมรูปถ่าย 1 ใบ ชำระค่าบัตร (วิธีนี้จะได้บัตรทันที)
3.สมัครผ่านทางโทรศัพท์ โดยโทรไปที่ 0844 871 4036 ระหว่างเวลา 7:00AM - 22:00PM (วิธีนี้จะมีการคิดค่าโทรศัพท์ตามโปรโมชั่นที่ใช้อยู๋ และจะต้องส่งรูปไปให้เจ้าหน้าที่ทางไปรษณีย์ด้วย)






หลังจากขั้นตอนการซื้อตั๋วโดยสารแล้ว ก็มาดูว่าจะต้องไปที่ชานชาลาไหนด้วยการมองป้ายสีดำๆ จะมีโชว์ว่ารถไฟสายที่เราจะขึ้นนั้นอยู่ชานชาลาไหน จากนั้นเราก็เข้าสถานีรถไฟได้ด้วยการสอดบัตรโดยสารเข้าที่ประตูอัตโนมัติ แต่ในบางสถานีไม่ต้องสอด สามารถเข้าไปได้เลย แต่ระหว่างทางที่นั่งรถไฟจะมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจบัตรเสมอ หากน้องๆไม่มีบัตรโดยสารจะต้องทำการซื้อบัตรกับเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว ซึ่งจะมีราคาแพง(ไม่สามารถใช้ส่วนลดได้)





เมื่อไปถึงที่ชานชาลาแล้ว ให้ตรวจสอบที่ดูป้ายอีกครั้งว่ารถไฟที่กำลังจะเข้า/ออกนั้น ผ่านเมืองที่เราจะไปมั้ยเพื่อความถูกต้องครับ เมื่อรถไฟมาจอดที่ชานชาลาแล้ว รอให้คนด้านในออกมาก่อน จากนั้นเราถึงจะขึ้นไปได้ครับ โดยหากมีการจองที่นั่งไว้ก็ให้ไปนั่งตามที่ที่จองไว้ แต่หากไม่ได้จองไว้เมื่อมีเจ้าของที่มาแสดงตัว เราจะต้องลุกเพื่อคืนที่นั่งให้เจ้าของที่ที่จองไว้ครับ 


ภายในรถไฟจะมีห้องน้ำไว้บริการ พร้อมทั้งมีพนักงานเข็นอาหารมาขาย หรือเราจะไปซื้อที่เคาน์เตอร์ขายอาหารก็ได้ครับ ระหว่างทางจะมีป้ายบอกเสมอว่ารถไฟกำลังจะถึงสถานีอะไร เมื่อถึงสถานีปลายทาง รถไฟจอดเรียบร้อยก็กดปุ่มเปิดประตูลงได้เลยครับ ขาออกก็สอดตั๋วโดยสารอีกรอบ เพื่อออกจากสถานี (บางสถานีคืนตั๋ว บางสถานีไม่คืนครับ)






เป็นอย่างไรบ้างครับ บทความนี้น่าจะช่วยให้น้องๆหมดกังวลเรื่องการนั่งรถไฟไปเมืองต่างๆในอังกฤษ (รวมถึงสก็อตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ)ได้แล้วนะครับ แล้วเดี๋ยวบทความหน้าเราจะมาพูดถึงการนั่งรถไฟในลอนดอนกันครับ


สนใจไปเรียนต่อต่างประเทศติดต่อ GoÜni ได้ที่ 02-967-7003 หรือ 098-825-9840 ปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ
เข้ามาเยี่ยมชมFacebook ของเราได้ที่ www.facebook.com/gouni.th
หรือหาข้อมูลเรื่องเรียนต่อได้ที่ www.gouni.co.th